การแปลบันเทิงคดี
ถ้าพูดถึงเรื่องการแปล
ในการแปลนั้นมีเรื่องราวต่างๆให้เราแปลได้มากมายและมีงานแปลประเภทต่างๆที่ราต้องศึกษาเพื่อที่จะนำมาใช้กับงานแปลของเราเพื่อให้งานแปลของเรามีความไพเราะ
และเนื้อความที่เราแปลนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับที่เราแปลซึ่งประเภทของการแปลนั้นมีหลากหลายประเภทแต่วันนี้ราจะมาศึกษาการแปลบันเทิงคดี
บันเทิงคดี
คือ งานแปลทุกประเภทที่ไม่อยู่ในประเภทของงานวิชาการและสารคดี
รวมทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
ในการแปลบันเทิงคดีนั้นมีประกอบด้วยองค์ประกอบของงานเขียนแบบบันเทิงคดี ดังนี้
การแปลบันเทิงคดีทั้งในด้านของเนื้อหานั้นจะนำเสนอเนื้อหาที่มีความเป็นจริงบ้าง
หรืออาจจะสอดแทรกทัศนะความรู้สึกหรือประสบการณ์ของผู้เขียนลงไปด้วย นั้นคือการเขียนบันเทิงคดีมีจุดประสงค์หลักคือ
การสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้อ่านดังนั้นบันเทิงคดีอาจจะเป็นการถ่ายทอดจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ
องค์ประด้านภาษาของการแปลบันเทิงคดี
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ การใช้สรรพนาและคำเรียกบุคคล
การใช้คำที่มีความหมายแฝง และภาษาเฉพาะวรรณกรรม แต่ในบทนี้ เราจะศึกษาเกี่ยวกับ
ภาษาที่มีความหมายแฝง
คำศัพท์ในภาษาใดๆก็ตามคำศัพท์ที่มีความหมายตรงตัวหรือความหมายตามตัวอักษรและความหมายแฝงของคำศัพท์คำเดียวกัน
ในการแปลนั้นผู้แปลจะต้องมีไหวพริบในการเลือกใช้คำเพราะต้องสังเกตว่าในคำหนึ่งคำนั้นมีความหมายแฝงหรือไม่
เพื่อป้องกันความผิดพลาดของงานแปล
และนอกจากกระบวนงานแปลทุกประเภทแล้วสิ่งที่ผู้แปลไม่ควรปฏิบัติคือ
การใช้พจนานุกรมสองภาษา เพียงอย่างเดียวแต่ควรใช้พจนานุกรมภาษาเดียว
ภาษาเฉพาะวรรณกรรมหรือโวหารภาพพจน์
บันเทิงคดีมักจะใช้โวหารในรูปแบบต่างๆเพื่อที่จะมาแปลเรื่องราวๆนั้นให้ได้รูปแบบประโยคที่ไพเราะและสวยงามมากยิ่งขึ้น
ภาษาในกลุ่มนี้จะมีลักษณะเด่นนั่นก็คือ การสะท้อนวัฒนธรรมด้านต่างๆลงไปในภาษา
อีกประการหนึ่งนั่นคือ ภาษากลุ่มนี้โยงใยทุกแง่ทุกมุมของวัฒนธรรมอารยธรรม
ของมนุษย์ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของภาษาโวหารภาพพจน์
อาจปรากฏในการเขียนปกติหรือการเขียนเฉพาะอย่าง
รูปแบบของโวหารอุปมาอุปไมย โวหารอุปมาอุปไมยคือ
การสร้างภาพพจน์โดยการเปรียบเทียบโดยการเปรียบเทียบแบบชีแจง
อธิบายหรือเน้นถึงสิ่งที่กล่าวถึงให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น
โวหารอุปมาอุปไมยทั้งในภาษาไทยและอังกฤษ
มักจะมีคำที่ใช้เป็นลักษณะเฉพาะของภาษาอยู่ชัดเจน เช่น เปรียบเหมือน, เหมือนกับ(ว่า) ภาษาอังกฤษคือ Be like ,as…as เป็นต้น
โวหารอุปมาอุปไมยทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมักจะเปรียบเทียบสองประเภทคือ
การเปรียบเทียบคำนามกับคำนาม และคำกริยากับคำกริยา
ในการแปลนั้นผู้แปลจะต้องเคร่งครัดในเรื่องของไวยากรณ์เพราะการแปลอุปมาอุปไมยนั้นเป็นเพียงการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นแต่โครงสร้างทางภาษาและหลักไวยากรณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
รูปแบบของโวหารอุปลักษณ์
(metaphor)
คือการเปรียบเทียบความหมายของสิ่งสองสิ่งนำความเหมือนกับความไม่เหมือนมาเปรียบเทียบกัน
เช่น เงินตรากับพระเจ้า ชีวิตยามหนุ่มนั้นเป็นเพียงธรณีประตูเป็นต้น
ไม่ว่าภาษาใดๆในโลกนี้ก็ล้วนแต่มีภาษาที่เป็นสำนวนอุปลักษณ์ทั้งสิ้น
แต่จะเป็นภาษาเฉพาะของภาษานั้นๆ
การแปลโวหารอุปมาอุปไมยและโวหารอุปลักษณ์
ผู้แปลจะต้องคำนึงความจริงบางประการที่เกี่ยวข้องกับทางภาษา
ประการแรกคือภาษาใดๆเป็นเครื่องสื่อสารถ่ายทอดความหมายและวัฒนธรรมของชาตินั้น
ประการที่สองคือ องค์ประกอบทางวัฒนธรรมของชาติ 2 ภาษา
มักจะมีความแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง
ในการแปลโวหารนั้นผู้แปลต้องปรับโวหารต่างๆให้เมาะสมกับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาโดยมีหลักปฏิบัติดังนี้
1. เมื่อรูปแบบของภาษาสอดคล้องกันและมีความหมายเหมือนกันทั้ง
2 ภาษา ผู้แปลจะต้องแปลโวหารอุปมาอุปไมยนั้นตามตัวอักษรเท่านั้น
เช่น ออกดอกออกผล = bear fruit 2. เมื่อโวหารอุปมาอุปไมยและอุปลักษณ์นั้นไม่มีความสำคัญต่อเนื้อหาของงานเขียนผู้แปลอาจตัดทิ้งได้โดยไม่ต้องแปล
3. เมื่องานเขียนนั้นเป็น authoritative text เช่นกวีนิพนธ์เอกของโลกผู้แปลโวหารนั้นควรแปลตามตัวอักษรโดยใส่หมายเหตุเพื่อชี้แจงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
และข้อสุดท้าย 4 . สืบค้นในงานเขียนอุปมาอุปไมยและอุปลักษณ์ในงานเขียนชนิดต่างๆในภาษาแปล
ผู้เขียนอาจใช้โวหารอุปมาอุปไมยและอุปลักษณ์ 2 ชนิด คือ
สำนวนโวหารที่นักเขียนคิดขึ้นเองและอุปมาอุปไมยที่อยู่ในภาษาตั้งแต่โบราณมา
ซึ่งจะเห็นได้ว่าในการแปลบันเทิงคดีนั้นผู้แปลจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการแปลในเรื่องเกี่ยวกับโวหารต่างๆอย่างมาก
เพราะในการแปลงานบันเทิงคดีนั้นสิ่งที่ผู้แปลต้องใช้ คือ โวหารประเภทต่างๆเพื่อมาขยายและช่วยให้ผู้อ่านเกิดภาพจินตนาการมากขึ้นและที่สำคำการนำโวหารประเภทต่างๆมาช่วยในงานแปลนั้นจะทำให้งานแปลบันเทิงคดีมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น