Learning log week 9
(นอกห้องเรียน)
ชีวิตประจำวันของเราในบางครั้ง
เรามีความจำเป็นต้องยกคำพูดของบางคนขึ้นมาเพื่อเป็นการกล่าวอ้างถึงคำพูดของคนใดคนหนึ่ง
หากเป็นการยกมาตรงๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้างใดๆ เราเรียกว่า Direct Speech หรือบางคนเรียกว่า Quoted Speech แต่หากเป็นการยกโดยมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้าง หรือโดยอ้อม
เราเรียกว่า Indirect Speech หรือบางคนเรียกว่า Reported
Speech
ข้อสังเกตของ
Direct Speech คือ คำพูดดังกล่าวของบุคคลนั้น
จะอยู่ภายในเครื่องหมายคำพูดที่เรียกว่า Quotation marks ลักษณะโครงสร้างแบบ
Direct/Quoted Speech อาจจะเป็น ดังนี้ก็ได้ คือ Jane said, “My brother is a student.” Mary
said, “So is mine. He’s studying at Trium Udom School.” หรืออาจจะยกคำพูดของบุคคลนั้นขึ้นมาก่อน
แล้วจึงบอกว่าใคร เป็นผู้พูดเช่นนั้น ดังนี้ “My brother is a student,” Jane said. “So is
mine. He’s studying at Trium Udom School,” Mary said.
ข้อสังเกต
ใน แบบที่ 1 ลักษณะโครงสร้างของ Direct/Quoted
Speech เป็นดังนี้ คือ ใส่ comma หลัง said
เช่น Jane said, ใส่ quotation marks หลัง comma
เช่น Jane said,” หรือหลัง quotation marks เริ่มด้วยอักษรใหญ่ เช่น Jane
said, คำพูดของผู้พูดถูกยกมาทั้งหมด
มิได้เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น แล้วใส่เครื่องหมาย full stop หรือ
period และใส่ quotation marks ปิดท้าย
เช่น Jane said, “My brother is a student.”
แบบที่
2 ลักษณะโครงสร้างของ Direct/Quoted Speech เป็นดังนี้ ใส่ quotation marks เช่น “ แล้ว เริ่มด้วยอักษรใหญ่หลัง Quotation
marks “M แล้วยกคำพูดของผู้พูดมาทั้งหมด
มิได้เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น แล้ว ใส่เครื่องหมาย comma ใส่ Quotation marks ท้ายคำพูด
เช่น “My brother is a student,” และยกชื่อผู้พูด
ก่อนจะปิดท้ายด้วยคำว่า said และเครื่องหมาย period เช่น “My brother is a student,” Jane said.
Indirect/Reported
Speech ซึ่งเป็นการยกคำพูดมาโดยอ้อม
จึงมีการเปลี่ยนด้านรูปของคำกริยา (verb forms) สรรพนาม (pronouns)
รวมทั้งไม่มี quotation marks ตัวอย่าง Jane
said (that) her brother was a student. Mary
said (that) her brother was a student. He’s
studying at Trium Udom School. Where’s
your brother studying?
หาก
ใช้คำว่า tell/told แทน say/said
จะต้องใช้โครงสร้างต่างกันไปดังนี้ Say + something tell + someone + something แสดงว่า เมื่อใดก็ตามที่ใช้คำว่า say/said
จะไม่มีกรรม (object) รองรับ แต่ถ้าใช้ tell/told
จะต้องมีกรรมรองรับ แต่ถ้าใช้ say/said ตามด้วยบุพบท
to ต้องมีกรรมรองรับ เช่น said to me
ตัวอย่าง
Direct Speech Jane said, “My
brother is a student Indirect Speech Jane said (that) her brother was a student. เราจะใส่หรือไม่ใส่คำว่า that
หลัง say/said tell/told เมื่อเป็น Indirect
Speech ก็ได้indirect/Reported Speech สามารถแบ่งได้เป็น
4ชนิด ดังนี้
ชนิดแรกคือ Reported Speech (statements) ในประโยคบอกเล่าทั่วไป
จะประกอบด้วย ภาคประธาน + กริยา + กรรม หรือส่วนขยาย เมื่อแปรเปลี่ยนจาก Direct/quoted
Speech ไปเป็น Indirect/Reported Speech จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบางอย่าง
ส่วนใหญ่มักเป็นการเปลี่ยนแปลงสรรพนาม และรูปคำกริยา
แต่มีบางครั้งที่เปลี่ยนแปลงรูป adverbs of time & place ด้วย
Indirect speech จะมีการเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
Present Simple→ Past Simple
D:“I can’t stand him” Sue said. R : Sue said (that) she couldn’t
stand him. Present Continuous →Past Continuous D : Sue said, “I am having an ice-cream.” R : Sue
said (that) she was having an ice-cream.
Present Perfect → Past Perfect D : “I have
cooked a delicious meal,” Sue said. R :
Sue said (that) she had cooked a delicious meal.
Tense ถัดไป คือ Present Perfect Continuous → Past Perfect Continuous D :
Sue said, “I have been watching TV all day.”
R : Sue said (that) she had been watching TV all day. Past Simple → Past Perfect D : Sue said
to her mother, “I passed the entrance exam.”
R : Sue told her mother (that) she had passed the entrance exam. Future
Simple → Conditional D : They said, “We will do it tomorrow.”
R : They said (that) they would do
it the next day. Future Continuous →Conditional Continuous
D : They said, “We will be studying
here next year.” R : They said they would be studying there the following year.
จะเห็นได้ว่า
เมื่อมีการเปลี่ยนจาก Direct/Quoted Speech เป็น
Reported/Indirect Speech จะมีการเปลี่ยนแปลงสรรพนาม (pronouns)
และคำกริยา (verbs) และ adverbs of place
การเปลี่ยนแปลงของ adverbs of time & adverbs of place จาก Direct
Speech เป็น Reported Speech มีตังนี้
Direct Speech
|
Reported Speech
|
here
|
there
|
now
|
then
|
yesterday
|
the day before
|
this
|
that
|
that
|
the following week
|
ago
|
before
|
today
|
that day
|
tonight
|
that night
|
tomorrow
|
the next day / the following day
|
next Monday
|
the following Monday
|
last Monday
|
the previous Monday
|
|
|
ตัวอย่างเช่น
D : “I’m here on holiday,” Patricia said. R : Patricia said (that) she was there on
holiday. D : “I’ll see you next
Tuesday,” Patricia said to me. R :
Patricia told me (that) she would see me the following Tuesday.
ชนิดที่สองคือ Reported Speech (questions) ประโยคคำถาม แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Yes-No Questions และ Wh-word
Questions ดังนั้นการจะเปลี่ยนรูปแบบของประโยคลักษณะดังกล่าวนี้เป็น
Reported Speech จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงทีละประเภทคือ
ประเภทแรกได้แก่
Yes-No Questions ประโยคคำถามประเภทนี้ จะขึ้นต้นด้วยคำกริยาช่วย (helping verbs) ตัวอย่าง Jane: Are you cold? Do you want some hot drink? May I bring you a blanket?
ลักษณะโครงสร้าง Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้คือ Jane asked, “Are you cold?”
Jane asked, “Do you want some hot drink?”
ลักษณะโครงสร้าง Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้คือ Jane asked, “Are you cold?”
Jane asked, “Do you want some hot drink?”
เมื่อต้องการจะเปลี่ยน เป็น Reported Speech จำเป็นจะต้องทดแทนการถามว่า “ใช่ไหม” ด้วยคำว่า if/whether ตัวอย่าง Jane asked Tom if
(OR whether) he was cold. หรือ Jane asked Tom if (OR whether) he wanted some hot
drink. นอกจากจะสามารถใช้คำว่า
ask/asked ใน Reported
Speech แล้วยังมีคำและวลีอื่นที่ใช้ได้ด้วยเช่นกัน ที่พบบ่อยคือ wonder/wondered
และ want/ wanted to know เป็นต้น
ประเภทที่สองคือ Wh-word Questions ประโยคคำถามแบบนี้ขึ้นต้นด้วย
Wh-words ตัวอย่าง Jane : What do you want to buy?
Which book have you seen? ลักษณะโครงสร้างแบบ Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้ คือ Jane asked, “What do you want to
buy?” Jane asked, “Which book have you
seen?” Jane asked,
เมื่อต้องการจะ Reported
Speech จะต้องคง Wh-words ไว้
แล้วจึงตามด้วยภาคประธานของประโยคดังกล่าว จากนั้นจึงตามด้วย กริยาช่วย (ถ้ามี)
และกริยาแท้ ส่วนขยายหรือกรรมที่เหลือก็ลอกไปเหมือนเดิม ตัวอย่าง Jane asked Tom what
he wanted to buy. Jane
asked Tom which book he had seen. นอกจากจะสามารถใช้คำว่า
ask/asked ใน Reported
Speech แล้วยัง สามารถใช้คำหรือวลีต่อไปนี้ได้ด้วยคือ wonder/wondered
และ want/wanted to know เป็นต้น
ชนิดที่สามคือ Reported
Speech (imperatives) หมายถึง ประโยคคำสั่ง ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายคือ
ประโยคลักษณะนี้จะขึ้นต้นประโยคด้วยคำกริยา (verbs)
ทันที ตัวอย่าง
Jane : Go away!
Come here!
ลักษณะโครงสร้างแบบ Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้ คือ Jane ordered the children, “Go away.” Jane said to me, “Come on Monday.”
ลักษณะโครงสร้างแบบ Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้ คือ Jane ordered the children, “Go away.” Jane said to me, “Come on Monday.”
เมื่อต้องการจะเปลี่ยน เป็น Reported speech จะต้องใช้ to-infinitive นั่นคือ วางบุพบท to ไว้หน้าคำกริยาของประโยคคำสั่ง
หากเป็นคำสั่งห้ามที่ขึ้นต้นด้วย Don’t หรือ Never ให้เพิ่มคำว่า not หน้าบุพบท to แล้วจึงลอกส่วนที่เหลือ หากมี adverbs of time & place เปลี่ยนตามเมื่อเป็น Reported Speech ตัวอย่าง Jane ordered the
children to go away. Jane
told me to come on Monday.
คำกริยาที่สามารถใช้ใน Direct
Speech และ Reported Speech ของประโยคคำสั่ง
สามารถใช้ได้หลายคำ แล้วแต่ลักษณะความรุนแรงของการสั่งการ อาทิ ask (ขอร้อง) request (ขอร้อง) invite (เชื้อเชิญ) tell (บอก) remind (เตือน) demand (เรียกร้อง) order (สั่ง) และ command (สั่งการ) เป็นต้น
ส่วนโครงสร้างของคำสรรพนาม รวมทั้ง adverbs of time & place ตัวอย่างเช่น D : “Don’t interrupt me,” she said to them.
R : She told them not to interrupt her.
R : She told them not to interrupt her.
ชนิดสุดท้ายคือ Reported Speech (exclamations) คือ ประโยคหรือข้อความอุทาน
ซึ่งอาจจะมีรูปลักษณะคล้ายๆ กับคำถาม แต่ลงท้ายด้วยเครื่องหมาย!
(ไม่ใช้เครื่องหมาย ?) หรืออาจจะคล้ายกับคำสั่ง
คำกริยาที่ใช้ในรูปแบบประโยคดังกล่าวนี้มักจะได้แก่ remark (กล่าว/บอก)
greet (ทักทาย) exclaim (อุทาน) ask
(ถาม) say (พูด) เป็นต้น ตัวอย่าง Jane
: What a lovely garden! Hello! Where are you going?
ลักษณะโครงสร้างแบบ Direct/Quoted
Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้ คือ “What a lovely
garden!,” Jane remarked. He
said, “Hello!” and asked, “Where are you going?”
เมื่อต้องการจะเปลี่ยน เป็น Reported Speech ก็จะต้องพิจารณาตามความเหมาะสมว่าจะใช้คำกริยาใด และต้องคำนึงถึงลักษณะคำถาม (หากมี) รวมทั้งบางทีอาจจะจำเป็นต้องเพิ่มคำบางคำเข้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น Jane remarked what a lovely garden it was. He greeted me and asked where I was going. She exclaimed and said (that) she had torn her clothes.
ลองดูตัวอย่างเพิ่มเติม
D : Mary remarked, “What a terrible noise!”
R : Mary remarked what a terrible noise it was.
D : “Oh dear! I’ve spilt my coffee,” Jane said.
R : Jane exclaimed and said she had spilt her coffee
D : “Look out! There’s a car coming.” he warned me.
R : He warned me to look out and said there was a car coming.’
เมื่อต้องการจะเปลี่ยน เป็น Reported Speech ก็จะต้องพิจารณาตามความเหมาะสมว่าจะใช้คำกริยาใด และต้องคำนึงถึงลักษณะคำถาม (หากมี) รวมทั้งบางทีอาจจะจำเป็นต้องเพิ่มคำบางคำเข้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น Jane remarked what a lovely garden it was. He greeted me and asked where I was going. She exclaimed and said (that) she had torn her clothes.
ลองดูตัวอย่างเพิ่มเติม
D : Mary remarked, “What a terrible noise!”
R : Mary remarked what a terrible noise it was.
D : “Oh dear! I’ve spilt my coffee,” Jane said.
R : Jane exclaimed and said she had spilt her coffee
D : “Look out! There’s a car coming.” he warned me.
R : He warned me to look out and said there was a car coming.’
ดังนั้นจากการศึกษาเรื่อง
Direct speech and Indirect speech พอจะสรุปได้ว่าทั้งสองชนิดนี้มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันและมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน
ซึ่งผู้เขียนจะต้องสังเกตให้ดีว่าประโยคที่เขียนแต่ละประโยคนั้นเป็นประเภทไหน
ซึ่งการบันทึกการเรียนรู้ครั้งนี้เป็นการทบทวนความรู้เดิมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับวิชาอื่นๆได้อีกด้วย
ที่มา:รองศาสตราจารย์ทณุ เตียวรัตนกุล
ที่มา:รองศาสตราจารย์ทณุ เตียวรัตนกุล
Learning
log 9
การใช้ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายประเภทต่างๆมีมากมาย
จากการดูรายการโทรทัศน์ที่ชื่อว่า ภาษาอังกฤษติดล้อ
เป็นรายการที่จะสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ในสถานที่ต่างๆและสถานที่ที่ดิฉันเลือกศึกษาเป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นการใช้เรียกชื่อของสิ่งของต่างๆ
เครื่องออกกำลังกาย และท่าออกกำลังกายต่างๆ
คำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายคำแรกได้แก่
Exercise ออกกำลังกายและสามารถใช้อีกคำได้คือ
workout ออกกำลังกาย สามารถที่จะพูดเป็นประโยคได้ใน
2 แบบ คือToday we have
a workout session at WE fitness society. Today I am going to exercise session at WE fitness society. วันนี้เราไปออกกำลังกายที่
WE fitness society
คนเรามักจะบอกว่าเราไป Fitness แต่จริงๆแล้วคำว่า Fitness ความแข็งแรงของร่างกาย ส่วนสถานที่ออกกำลังกายคือ
Fitness center หรือFitness club สถานที่ออกกำลังกาย หรืออาจจะใช้คำว่า GYM
Gymnasium สถานที่ออกกำลังกาย และก่อนที่จะออกกำลังกายเราจะต้องอบอุ่นร่างกายเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายจะใช้คำว่า
Warm up การอบอุ่นร่างกาย stretch
ยืดกล้ามเนื้อ
และเรามักจะได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายใช้คำว่า injury การบาดเจ็บ
We warm up by running slowly on
the treadmill for about 10 minutes. เราอบอุ่นร่างกายการวิ่งช้าๆบนลู่วิ่งประมาณ 10
นาที อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการอบอุ่นร่างกายได้แก่ treadmill ลู่วิ่งไฟฟ้า
และสามารถที่จะปรับระดับได้ speed
adjustable ปรับความเร็วได้ การวิ่งมีการวิ่งในระดับต่างๆได้แก่
Jogging การวิ่งเหยาะๆ running
การวิ่งปกติ sprinting การวิ่งเร็ว
For newcomers, the bicycle is the
first and best exercise equipment to start with. สำหรับลูกค้าใหม่
การปั่นจักรยานเป็นอุปกรณ์แรกและดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้น การออกกำลังกายทุกคนสามารถที่จะออกกำลังกายได้
ไม่ว่าจะเป็นคนรูปร่างใหญ่ หรือเล็ก Heavy built คนที่มีร่างใหญ่น้ำหนักตัวเยอะ calorie burning การเผาผลาญแคลอรี่
การออกกำลังกายต้องออกให้เหมาะกับสภาพร่างกายร่างของเราและจะต้องมีเป้าหมายในการออกกำลังกายด้วยPhysical
condition สภาพร่างกาย target เป้าหมาย Having a personal trainer help achieve your
target sooner. การมีครูฝึกส่วนตัวช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น Personal trainer ครูฝึกส่วนตัว
sooner เร็วกว่า เร็วขึ้น
soonest เร็วที่สุด
To add more muscle to parts of
your body, weight training is quite a popular choice.
การเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งของร่างกายการออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก
เป็นอีกทางเลือกยอดนิยม การออกกำลังกายมีหลายประเภทเพื่อเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย Muscle กล้ามเนื้อ weight
training การออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก
ประเภทของการยกน้ำหนัก dumbbell ตุ้มเหล็กขนาดเล็กยกด้วยมือเดียว barbell
ก้านเหล็กมีตุ้มน้ำหนักทั้งสองด้านยกด้วยสองมือ
การออกกำลังกายสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างทั้งร่างกายส่วนบนและส่วนล่าง Upper torso ร่างกายส่วนบน lower torso ร่างกายส่วนล่าง
Thigh ต้นขา calf น่อง vibration
การสั่นสะเทือน shrinkage การหดตัว loosen
up การคลายตัว cardio มาจากคำว่า cardiology
เกี่ยวกับหัวใจ
The power plate is very useful
for those who want to get rid of the extra fat. Power plate เหมาะสำหรับคนที่จะกำจัดส่วนเกิน
Pilates enhances the strength of the body structure. การเล่น Pilates เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างส่วนต่างๆของร่างกาย
Structure โครงสร้าง หรือสิ่งก่อสร้าง spine
กระดูกสันหลัง flexibility ความยืดหยุ่น posture การวางท่าทาง
การเล่นโยคะในปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก Regular
yoga exercise and meditation are good for your body and mind. การออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะจะส่งผลที่ดีทั้งต่อร่างกายและจิตใจ yoga โยคะ meditation
การทำสมาธิ
yoga mat เสื่อโยคะ Inhale หายใจเข้า breath
in หายใจเข้า
exhale หายใจออก breath out หายใจออก
Asana pose is a simple posture combine with smooth body movement. ท่าอาสนะเป็นท่าบริหารที่ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวแบบนิ่มนวลเป็นท่าที่ง่ายและเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกโยคะใหม่ๆ
การเล่นโยคะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่สนใจมีประโยชน์ในด้านต่างๆ
เช่น Blood circulation ระบบหมุนเวียนเลือดnice complexion ผิวพรรณสวยงาม look younger ดูอ่อนกว่าวัย
และการเล่นโยคะในปัจจุบันสามารถที่จะเล่นได้สะดวกยิ่งขึ้นเพราะมีผู้ที่มีความชำนาญและสถานที่ที่จะเล่นได้สะดวก
สรุปจากการศึกษาจากการดูรายการภาษาอังกฤษติดล้อ
ได้เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังมากมากมายไม่ว่าจะเป็น
เครื่องออกกำลังกาย ประเภทของการออกกำลังและการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งเราสามารถที่จะเรียนรู้คำศัพท์ได้ในทุกสถานที่ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน
หากรามีใจที่จะเรียนรู้ทุกสถานที่ก้อเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีให้กับเราได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น