วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning log week 9
(นอกห้องเรียน)
ชีวิตประจำวันของเราในบางครั้ง เรามีความจำเป็นต้องยกคำพูดของบางคนขึ้นมาเพื่อเป็นการกล่าวอ้างถึงคำพูดของคนใดคนหนึ่ง หากเป็นการยกมาตรงๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้างใดๆ เราเรียกว่า Direct Speech หรือบางคนเรียกว่า Quoted Speech แต่หากเป็นการยกโดยมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้าง หรือโดยอ้อม เราเรียกว่า Indirect Speech หรือบางคนเรียกว่า Reported Speech
ข้อสังเกตของ Direct Speech คือ คำพูดดังกล่าวของบุคคลนั้น จะอยู่ภายในเครื่องหมายคำพูดที่เรียกว่า Quotation marks ลักษณะโครงสร้างแบบ Direct/Quoted Speech อาจจะเป็น ดังนี้ก็ได้ คือ  Jane said, “My brother is a student.” Mary said, “So is mine. He’s studying at Trium Udom School.” หรืออาจจะยกคำพูดของบุคคลนั้นขึ้นมาก่อน แล้วจึงบอกว่าใคร เป็นผู้พูดเช่นนั้น ดังนี้   “My brother is a student,” Jane said. “So is mine. He’s studying at Trium Udom School,” Mary said.
ข้อสังเกต ใน แบบที่ 1 ลักษณะโครงสร้างของ Direct/Quoted Speech เป็นดังนี้ คือ ใส่ comma หลัง said เช่น Jane said,  ใส่ quotation marks หลัง comma เช่น Jane said,”  หรือหลัง quotation marks เริ่มด้วยอักษรใหญ่ เช่น Jane said,  คำพูดของผู้พูดถูกยกมาทั้งหมด มิได้เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น แล้วใส่เครื่องหมาย full stop หรือ period และใส่ quotation marks ปิดท้าย เช่น Jane said, “My brother is a student.”
แบบที่ 2 ลักษณะโครงสร้างของ Direct/Quoted Speech เป็นดังนี้ ใส่ quotation marks เช่น  แล้ว เริ่มด้วยอักษรใหญ่หลัง Quotation marks  “M แล้วยกคำพูดของผู้พูดมาทั้งหมด มิได้เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น แล้ว ใส่เครื่องหมาย comma  ใส่ Quotation marks ท้ายคำพูด เช่น “My brother is a student,” และยกชื่อผู้พูด ก่อนจะปิดท้ายด้วยคำว่า said และเครื่องหมาย period เช่น “My brother is a student,” Jane said.
Indirect/Reported Speech ซึ่งเป็นการยกคำพูดมาโดยอ้อม จึงมีการเปลี่ยนด้านรูปของคำกริยา (verb forms) สรรพนาม (pronouns) รวมทั้งไม่มี quotation marks ตัวอย่าง Jane said (that) her brother was a student.   Mary said (that) her brother was a student.  He’s studying at Trium Udom School.  Where’s your brother studying?
หาก ใช้คำว่า tell/told แทน say/said จะต้องใช้โครงสร้างต่างกันไปดังนี้  Say + something                    tell + someone + something   แสดงว่า เมื่อใดก็ตามที่ใช้คำว่า say/said จะไม่มีกรรม (object) รองรับ แต่ถ้าใช้ tell/told จะต้องมีกรรมรองรับ แต่ถ้าใช้ say/said ตามด้วยบุพบท to ต้องมีกรรมรองรับ เช่น said to me
ตัวอย่าง   Direct Speech  Jane said, “My brother is a student  Indirect Speech  Jane said (that) her brother was a student.  เราจะใส่หรือไม่ใส่คำว่า that หลัง say/said  tell/told เมื่อเป็น Indirect Speech ก็ได้indirect/Reported Speech สามารถแบ่งได้เป็น 4ชนิด ดังนี้
ชนิดแรกคือ Reported Speech (statements) ในประโยคบอกเล่าทั่วไป จะประกอบด้วย ภาคประธาน + กริยา + กรรม หรือส่วนขยาย เมื่อแปรเปลี่ยนจาก Direct/quoted Speech ไปเป็น Indirect/Reported Speech จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบางอย่าง ส่วนใหญ่มักเป็นการเปลี่ยนแปลงสรรพนาม และรูปคำกริยา แต่มีบางครั้งที่เปลี่ยนแปลงรูป adverbs of time & place ด้วย
                Indirect speech จะมีการเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์ ดังนี้  Present Simple Past Simple
D:“I can’t stand him”  Sue said. R : Sue said (that) she couldn’t stand him.  Present Continuous Past Continuous D : Sue said, “I am having an ice-cream.” R : Sue said (that) she was having an ice-cream.
 Present Perfect Past Perfect  D : “I have cooked a delicious meal,” Sue said.  R : Sue said (that) she had cooked a delicious meal. 
Tense ถัดไป คือ Present Perfect Continuous Past Perfect Continuous  D : Sue said, “I have been watching TV all day.”  R : Sue said (that) she had been watching TV all day. Past Simple Past Perfect  D : Sue said to her mother, “I passed the entrance exam.”  R : Sue told her mother (that) she had passed the entrance exam.   Future Simple Conditional D : They said, “We will do it tomorrow.”
R : They said (that) they would do it the next day.  Future Continuous Conditional Continuous
D : They said, “We will be studying here next year.” R : They said they would be studying there the following year.
จะเห็นได้ว่า เมื่อมีการเปลี่ยนจาก Direct/Quoted Speech เป็น Reported/Indirect Speech จะมีการเปลี่ยนแปลงสรรพนาม (pronouns) และคำกริยา (verbs)  และ adverbs of place
การเปลี่ยนแปลงของ adverbs of time & adverbs of place จาก Direct Speech เป็น Reported Speech มีตังนี้
Direct Speech
Reported Speech
here
there
now
then
yesterday
        the day before
this
that
that
the following week
ago
before
today
that day
tonight
that night
tomorrow
the next day / the following day
next Monday
the following Monday
last Monday
the previous Monday



ตัวอย่างเช่น D : “I’m here on holiday,” Patricia said.  R : Patricia said (that) she was there on holiday.  D : “I’ll see you next Tuesday,” Patricia said to me.  R : Patricia told me (that) she would see me the following Tuesday.
ชนิดที่สองคือ Reported Speech (questions) ประโยคคำถาม แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Yes-No Questions และ Wh-word Questions ดังนั้นการจะเปลี่ยนรูปแบบของประโยคลักษณะดังกล่าวนี้เป็น Reported Speech จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงทีละประเภทคือ
ประเภทแรกได้แก่  Yes-No Questions ประโยคคำถามประเภทนี้ จะขึ้นต้นด้วยคำกริยาช่วย (helping verbs) ตัวอย่าง  Jane:     Are you cold?  Do you want some hot drink? May I bring you a blanket?
ลักษณะโครงสร้าง Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้คือ Jane asked, “Are you cold?”
Jane asked, “Do you want some hot drink?”
เมื่อต้องการจะเปลี่ยน เป็น Reported Speech จำเป็นจะต้องทดแทนการถามว่า ใช่ไหมด้วยคำว่า if/whether  ตัวอย่าง Jane asked Tom if (OR whether) he was cold. หรือ Jane asked Tom if (OR whether) he wanted some hot drink. นอกจากจะสามารถใช้คำว่า ask/asked ใน Reported Speech แล้วยังมีคำและวลีอื่นที่ใช้ได้ด้วยเช่นกัน ที่พบบ่อยคือ wonder/wondered และ want/ wanted to know เป็นต้น
ประเภทที่สองคือ Wh-word Questions ประโยคคำถามแบบนี้ขึ้นต้นด้วย Wh-words   ตัวอย่าง Jane :     What do you want to buy? Which book have you seen? ลักษณะโครงสร้างแบบ Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้ คือ Jane asked, “What do you want to buy?” Jane asked, “Which book have you seen?” Jane asked,
เมื่อต้องการจะ Reported Speech จะต้องคง Wh-words ไว้ แล้วจึงตามด้วยภาคประธานของประโยคดังกล่าว จากนั้นจึงตามด้วย กริยาช่วย (ถ้ามี) และกริยาแท้ ส่วนขยายหรือกรรมที่เหลือก็ลอกไปเหมือนเดิม ตัวอย่าง Jane asked Tom what he wanted to buy. Jane asked Tom which book he had seen. นอกจากจะสามารถใช้คำว่า ask/asked ใน Reported Speech แล้วยัง สามารถใช้คำหรือวลีต่อไปนี้ได้ด้วยคือ wonder/wondered และ want/wanted to know เป็นต้น
ชนิดที่สามคือ Reported Speech (imperatives) หมายถึง ประโยคคำสั่ง ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายคือ ประโยคลักษณะนี้จะขึ้นต้นประโยคด้วยคำกริยา (verbs) ทันที ตัวอย่าง Jane :     Go away! Come here!
ลักษณะโครงสร้างแบบ Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้ คือ Jane ordered the children, “Go away.” Jane said to me, “Come on Monday.”
เมื่อต้องการจะเปลี่ยน เป็น Reported speech จะต้องใช้ to-infinitive นั่นคือ วางบุพบท to ไว้หน้าคำกริยาของประโยคคำสั่ง หากเป็นคำสั่งห้ามที่ขึ้นต้นด้วย Don’t หรือ Never ให้เพิ่มคำว่า not หน้าบุพบท to แล้วจึงลอกส่วนที่เหลือ หากมี adverbs of time & place เปลี่ยนตามเมื่อเป็น Reported Speech  ตัวอย่าง Jane ordered the children to go away. Jane told me to come on Monday.
คำกริยาที่สามารถใช้ใน Direct Speech และ Reported Speech ของประโยคคำสั่ง สามารถใช้ได้หลายคำ แล้วแต่ลักษณะความรุนแรงของการสั่งการ อาทิ ask (ขอร้อง) request (ขอร้อง) invite (เชื้อเชิญ) tell (บอก) remind (เตือน) demand (เรียกร้อง) order (สั่ง) และ command (สั่งการ) เป็นต้น ส่วนโครงสร้างของคำสรรพนาม รวมทั้ง adverbs of time & place ตัวอย่างเช่น D : “Don’t interrupt me,” she said to them.
R : She told them not to interrupt her.
ชนิดสุดท้ายคือ Reported Speech (exclamations) คือ ประโยคหรือข้อความอุทาน ซึ่งอาจจะมีรูปลักษณะคล้ายๆ กับคำถาม แต่ลงท้ายด้วยเครื่องหมาย! (ไม่ใช้เครื่องหมาย ?) หรืออาจจะคล้ายกับคำสั่ง คำกริยาที่ใช้ในรูปแบบประโยคดังกล่าวนี้มักจะได้แก่ remark (กล่าว/บอก) greet (ทักทาย) exclaim (อุทาน) ask (ถาม) say (พูด) เป็นต้น ตัวอย่าง Jane :     What a lovely garden! Hello! Where are you going?
ลักษณะโครงสร้างแบบ Direct/Quoted Speech อาจจะเป็นดังนี้ก็ได้ คือ “What a lovely garden!,” Jane remarked. He said, “Hello!” and asked, “Where are you going?”
เมื่อต้องการจะเปลี่ยน เป็น Reported Speech ก็จะต้องพิจารณาตามความเหมาะสมว่าจะใช้คำกริยาใด และต้องคำนึงถึงลักษณะคำถาม (หากมี) รวมทั้งบางทีอาจจะจำเป็นต้องเพิ่มคำบางคำเข้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น Jane remarked what a lovely garden it was. He greeted me and asked where I was going. She exclaimed and said (that) she had torn her clothes.
ลองดูตัวอย่างเพิ่มเติม
D : Mary remarked, “What a terrible noise!”
R : Mary remarked what a terrible noise it was.
D : “Oh dear! I’ve spilt my coffee,” Jane said.
R : Jane exclaimed and said she had spilt her coffee
D : “Look out! There’s a car coming.” he warned me.
R : He warned me to look out and said there was a car coming.
ดังนั้นจากการศึกษาเรื่อง Direct speech and Indirect speech พอจะสรุปได้ว่าทั้งสองชนิดนี้มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันและมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เขียนจะต้องสังเกตให้ดีว่าประโยคที่เขียนแต่ละประโยคนั้นเป็นประเภทไหน ซึ่งการบันทึกการเรียนรู้ครั้งนี้เป็นการทบทวนความรู้เดิมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับวิชาอื่นๆได้อีกด้วย
ที่มา:รองศาสตราจารย์ทณุ  เตียวรัตนกุล



Learning log 9
การใช้ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายประเภทต่างๆมีมากมาย จากการดูรายการโทรทัศน์ที่ชื่อว่า ภาษาอังกฤษติดล้อ เป็นรายการที่จะสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ในสถานที่ต่างๆและสถานที่ที่ดิฉันเลือกศึกษาเป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นการใช้เรียกชื่อของสิ่งของต่างๆ เครื่องออกกำลังกาย และท่าออกกำลังกายต่างๆ 
คำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายคำแรกได้แก่ Exercise  ออกกำลังกายและสามารถใช้อีกคำได้คือ workout ออกกำลังกาย สามารถที่จะพูดเป็นประโยคได้ใน 2 แบบ คือToday we  have a workout session at WE fitness society. Today I am going to exercise  session at WE fitness society. วันนี้เราไปออกกำลังกายที่  WE fitness society
 คนเรามักจะบอกว่าเราไป Fitness แต่จริงๆแล้วคำว่า  Fitness  ความแข็งแรงของร่างกาย ส่วนสถานที่ออกกำลังกายคือ Fitness center หรือFitness club สถานที่ออกกำลังกาย หรืออาจจะใช้คำว่า GYM Gymnasium สถานที่ออกกำลังกาย และก่อนที่จะออกกำลังกายเราจะต้องอบอุ่นร่างกายเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายจะใช้คำว่า Warm up การอบอุ่นร่างกาย   stretch ยืดกล้ามเนื้อ และเรามักจะได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายใช้คำว่า   injury การบาดเจ็บ
We warm up by running slowly on the treadmill for about 10 minutes. เราอบอุ่นร่างกายการวิ่งช้าๆบนลู่วิ่งประมาณ 10 นาที  อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการอบอุ่นร่างกายได้แก่             treadmill ลู่วิ่งไฟฟ้า และสามารถที่จะปรับระดับได้       speed adjustable ปรับความเร็วได้ การวิ่งมีการวิ่งในระดับต่างๆได้แก่ Jogging การวิ่งเหยาะๆ  running การวิ่งปกติ                sprinting การวิ่งเร็ว
For newcomers, the bicycle is the first and best exercise equipment to start with. สำหรับลูกค้าใหม่ การปั่นจักรยานเป็นอุปกรณ์แรกและดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้น การออกกำลังกายทุกคนสามารถที่จะออกกำลังกายได้ ไม่ว่าจะเป็นคนรูปร่างใหญ่ หรือเล็ก   Heavy built คนที่มีร่างใหญ่น้ำหนักตัวเยอะ  calorie burning การเผาผลาญแคลอรี่
การออกกำลังกายต้องออกให้เหมาะกับสภาพร่างกายร่างของเราและจะต้องมีเป้าหมายในการออกกำลังกายด้วยPhysical condition สภาพร่างกาย  target เป้าหมาย  Having a personal trainer help achieve your target sooner. การมีครูฝึกส่วนตัวช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น  Personal trainer ครูฝึกส่วนตัว sooner เร็วกว่า เร็วขึ้น   soonest เร็วที่สุด
To add more muscle to parts of your body, weight training is quite a popular choice.
การเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งของร่างกายการออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก เป็นอีกทางเลือกยอดนิยม การออกกำลังกายมีหลายประเภทเพื่อเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย  Muscle กล้ามเนื้อ  weight  training  การออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก
ประเภทของการยกน้ำหนัก dumbbell ตุ้มเหล็กขนาดเล็กยกด้วยมือเดียว barbell ก้านเหล็กมีตุ้มน้ำหนักทั้งสองด้านยกด้วยสองมือ การออกกำลังกายสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างทั้งร่างกายส่วนบนและส่วนล่าง  Upper torso ร่างกายส่วนบน    lower torso ร่างกายส่วนล่าง Thigh ต้นขา          calf น่อง vibration การสั่นสะเทือน  shrinkage การหดตัว loosen up การคลายตัว              cardio มาจากคำว่า cardiology เกี่ยวกับหัวใจ       
The power plate is very useful for those who want to get rid of the extra fat. Power plate เหมาะสำหรับคนที่จะกำจัดส่วนเกิน Pilates enhances the strength of the body structure. การเล่น Pilates เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างส่วนต่างๆของร่างกาย Structure โครงสร้าง หรือสิ่งก่อสร้าง                spine กระดูกสันหลัง           flexibility ความยืดหยุ่น     posture การวางท่าทาง
การเล่นโยคะในปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก Regular yoga exercise and meditation are good for your body and mind. การออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะจะส่งผลที่ดีทั้งต่อร่างกายและจิตใจ  yoga โยคะ              meditation การทำสมาธิ yoga mat เสื่อโยคะ Inhale หายใจเข้า              breath in หายใจเข้า exhale หายใจออก  breath out หายใจออก Asana pose is a simple posture combine with smooth body movement. ท่าอาสนะเป็นท่าบริหารที่ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวแบบนิ่มนวลเป็นท่าที่ง่ายและเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกโยคะใหม่ๆ
การเล่นโยคะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่สนใจมีประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น Blood circulation ระบบหมุนเวียนเลือดnice complexion ผิวพรรณสวยงาม look younger ดูอ่อนกว่าวัย และการเล่นโยคะในปัจจุบันสามารถที่จะเล่นได้สะดวกยิ่งขึ้นเพราะมีผู้ที่มีความชำนาญและสถานที่ที่จะเล่นได้สะดวก
                สรุปจากการศึกษาจากการดูรายการภาษาอังกฤษติดล้อ ได้เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังมากมากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องออกกำลังกาย ประเภทของการออกกำลังและการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเราสามารถที่จะเรียนรู้คำศัพท์ได้ในทุกสถานที่ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หากรามีใจที่จะเรียนรู้ทุกสถานที่ก้อเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีให้กับเราได้
                 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น