วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log week 10
(นอกห้องเรียน)
ในชีวิตประจำวันของเรา เราอาจจะพบเจอกับชาวต่างชาติบ้างหรือเป็นประจำและทักษะหนึ่งที่เราไม่สามารถที่จะสื่อสารสนทนากับชาวต่างชาติได้นั้นเนื่องจากขาดทักษะด้านการฟัง ซึ่งทักษะด้านนี้เราสามารถที่จะฝึกฝนได้ เช่นการดูหนังในภาคภาษาอังกฤษเราก็สามารถที่จะฝึกฝนได้และหนังที่ดิฉันเลือกดูนั้นคือเรื่อง The Shamer’s Daugther สาวน้อยพลังเวทย์กับดินแดนมังกรไฟ ซึ่งมีเรื่องราวดังต่อไปนี้
 ดีน่า สาวน้อยที่ได้รับพลังวิเศษสืบทอดมาจากแม่ของเธอคือดวงตาสามารถล่วงรู้ถึงการกระทำผิดบาปของผู้คนที่ได้สบตากับเธอ แต่ในหมู่บ้านที่เธออยู่นั้นไม่มีใครที่สามารถกล้าสบตากับเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะล่วงรู้เรื่องราวที่ไม่ดีของพวกเขา จึงทำให้เธอไม่มีเพื่อน อยู่มาคืนหนึ่งได้มีศาลจากเมืองดันอาร์คได้เรียกตัวแม่ของเธอไปตัดสินคดีความการฆาตรกรรมที่เกิดขึ้นของตระกูลหนึ่ง
เมื่อแม่เธอให้การว่า นิโกเดมัส บุตรชายของกษัตริย์แห่งเมืองดันอาร์คและแม่ของเธอได้ให้การว่านิโกเดมัสไม่ใช่ผู้กระทำความผิด ดรากร พี่ชายต่างมารดาของนิโกเดมัสจึงไม่พใจ เพราะ เขาต้องการที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ของเมือง เขาจึงได้ไปนำตัว ดีน่ามาเพื่อ สอบสวน นิโกเดมัสอีกครั้ง เมื่อดีน่าได้สอบสวนนิโกเดมัสอยู่นั้น ดรากรได้เข้ามาในคุกที่นิโกเดมัส ถูกขังอยู่ เธอจึงได้บอกกับเขาว่านิโกเดมัส ไม่ใช่คนฆ่าบิดา ดังนั้นเขาไม่ใช่คนผิด
 เมื่อดรากรได้ยินเช่นนั้นก็หวังที่จะฆ่าดีน่าแต่นิโกเดมัสได้ช่วยเธอไว้ทัน และทั้งนิโกเดมัสและดีน่าก็ได้หนีไปจากคุก แต่ทางที่ทั้งสองหนีไปนั้นเป็นถ้ำที่มีมังกรถูกขังอยู่ในขณะที่หนีไป ดีน่าจึงถูกมังกรกัดเข้าที่แขนจนสลบไปหลังจากนั้นทั้งสองก็ได้หลบหนีไปอยู่กับอาจารย์ของนิโกเดมัส และมีคนปรุงยาซึ่งเป็นหลานสาวของอาจารย์ได้ช่วยทำแผลและดูแลดีน่า ในขณะนั้นดรากรก็ได้สั่งให้ทหารออกตาล่าทั้งสองคน และเขาได้เข้ามาค้นในบ้านของอาจารย์แต่ทั้งนิโกเดมัสและดีน่าได้หลบทัน เมื่อดรากรหาตัวทั้งสองคนไม่เจอเขาก็เลยจับตัวอาจารย์ไปและได้เผาบ้านของอาจารย์ จนทำให้ดีน่าทนไม่ไหวสำรักควันไฟเธอจึงวิ่งออกมาจนทำให้เธอถูกจับ
 ในระหว่างทางที่เดินกลับปราสาท อาจารย์ได้นำระเบิดควันไฟติดตัวมาด้วยเขาจึงใช้ระเบิดนั้นช่วยให้ดีน่าหนีไป และดีน่าก็หนีไปได้ เธอเดินโซซัดโซเซ ไปนอนหลบฝนอยู่ใต้รถในกองฟางของชาวบ้านและได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ รุ่งเช้าวันนั้นเจ้าของบ้านได้ปลุกทั้งสองให้ตื่นพวกเขาลุกแต่ในขณะนั้นเด็กหญิงอีกคนได้หันไปเห็นขนมปังเธอจึงขอแต่เขาก็ไม่ให้ ดีน่าจึงเดินเข้าไปหาและได้จ้องตากับเขาจนเขายอมให้ขนมปังกับเธอ
เด็กหญิงคนนั้นขอขนมปังจากดีน่า แต่เธอมีข้อแลกเปลี่ยนว่าเธอจะให้ขนมปังถ้าเด็กหญิงคนนั้นยอมแลกชุดกับเธอ และเด็กหญิงคนนั้นก็ได้ไปที่บ้านเพื่อที่จะเอาชุดแต่ในขณะที่ไปเอาชุดนั้นเธอก็ได้ทะเลาะกับพี่ชายจนทำให้ดีน่าจ้องตาและทำให้เขารู้สึกละอายใจที่ทำอย่างนั้น จนทั้งสองออกมาจากบ้าน เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ถามดีน่าว่าเธอทำได้ยังไงจนดีน่าเล่าให้เธอฟังและเธอก็ขอให้ดีน่าจ้องตากับเธอและดีน่าก็พบว่าเธอไม่มีอะไรที่จะต้องละอายและเธอก็เป็นคนดี
จากนั้นทั้งสองก็เป็นเพื่อนกัน และดีน่าก็ตัดสินใจเล่าเรื่องของเธอให้เด็กหญิงคนนั้นฟังและเด็กหญิงคนนั้นก็ได้จัดการตัดผมให้เธอจนเธออยู่เหมือนเด็กผู้ชาย ในขณะนั้นในเมืองก็มีการนำมังกรออกมาให้ชาวบ้านดู และประกาศว่าในวันรุ่งขึ้นจะมีการเฉลิมฉลองตำแหน่งกษัตริย์คนใหม่และจะนำตัวแม่ของดีน่ามาให้มังกรกินในฐานะที่เป็นแม่มด และในตอนนั้นพี่ชายของเด็กหญิงคนนั้นก็ได้ไปบอกกับทหารว่าเขาสงสัยว่าเด็กที่ทหารกำลังตามหานั้นคือดีน่า เมื่อเธอเห็นเช่นนั้นเธอจึงวิ่งหนี แต่ก็ไม่ทันทหารใหญ่ได้จับตัวเและพาไปหาหัวหน้าทหารคือ อาวุธ และเธอก็ได้จ้องตากับอาวุธจนอาวุธเกิดความละอายใจและให้นำดีน่าไปขังไว้
ในตอนนั้นอาวุธก็ได้เข้าไปคุยกับดรากรและบอกว่าเขาจะเป็นคนจัดการกับดีน่าเอง และในคืนนั้นเขาก็ได้นำตัวดีน่าไปแต่เพื่อนของดีน่าได้เดินตามเขาจึงจับตัวเพื่อนดีน่าไปด้วยเมื่อไปถึงสุดเขตเมืองเขาก็ได้ปล่อยทั้งสองคนและให้พวกเขาหนีไปแต่ดีน่าไม่ยอมขอให้เขาช่วยแม่ของเธอจนในที่สุดอาวุธก็ได้ช่วยดีน่า
ดีน่าไปบ้านคนปรุงยาเมื่อมาถึงดีน่าก็ได้เจอกับนิโกเดมัส เธอดีใจมากจากนั้นทุกคนจึงร่วมกันวางแผนที่จะจัดการกับดรากรในวันรุ่งขึ้น อาวุธแสร้งทำเป็นจับตัวคนปรุงยาไปและให้เธอไปช่วยอาจารย์จากนั้นดรากรก็ได้ขึ้นแสดงตัวต่อหน้าฝูงชน และดีน่าก็ได้พูดขึ้นมาทันทีว่าที่จริงๆแล้วดรากอนเป็นคนที่ฆ่าทุกคนและเป็นคนไม่ดี
เมื่อดีน่าถูกจับตัวไปเธอก็ท้าให้ดรากรจ้องตากับเธอแต่เขาก็ไม่มีอาการที่จะละอายต่อความผิดต่างๆที่เขาทำขึ้น จากนั้นแม่ขอดีน่าก็ถูกนำตัวออกมาและคำสั่งให้เปิดปรูมังกรก็ถูกสั่งขึ้นดีน่าไม่ยอมหยุดความพยายามเธอจึงได้หันไปจ้องตากับชาวบ้านและทุกคนเกิดความละอายใจกับสิ่งที่ทำอยู่ จนพวกเขาร้องตะโกนให้ดรากรหยุดแต่ดรากรก็ไม่ฟังจึงได้สั่งให้เปิดประตูมังกรทั้งหมด
จนทำให้เกิดความวุ่นวายและมังกรกำลังที่จะมาถึงตัวทั้งสองแม่ลูกนิโกเดมัสได้เข้ามาช่วยไว้ทันและเขาก็ได้ต่อสู้กับดรากรแต่เขาก็ฆ่าดรากอนไม่ลง และได้หนีไปออกสู่ทะเลดรากอนตามไปแต่ไม่ทัน ส่วนพวกของนิโกเดมัสได้หนีไปและได้ไปเจอเมืองใหม่และทุกคนก็มีความสุขมากขึ้น

                จากเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความผิดพลาดบางสิ่งบางอย่างเราอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำก็แล้วแต่ ถ้ามีคนอื่นมารู้ความผิดพลาดที่น่าละอายของเรานั้นไม่ว่าใครก็จะเกิดความละอายใจตัวเองอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นในทุกๆวันที่เรามีลมหายใจอยู่เราควรมั่นทำแต่สิ่งดีๆเพื่อตัวของเราเองและเพื่อสังคมของงเราจะได้อยู่อย่างมีความสุขและปราศจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย



   Learning log

ในการเรียนของเรา เรามักจะเจอคำศัพท์ที่เป็นคำสองคำใช้คู่กันเสมอ นั่นก็คือ Phrasal verbs หรือ two-word verbs คือ การใช้คำกริยาที่ปกติแล้วมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ส่วนประกอบ เมื่อ verb+ preposition or particle มารวมกันเป็น Phrasal verbs แล้ว อาจจะทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่มีเค้าความหมายของคำกริยาเดิม
หลักสำคัญในการใช้ Phrasal Verbs หรือ Two-Word Verbs
มีดังนี้ ประการแรกคือเมื่อไม่มี direct object ต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verb เช่น please come in.,  Don't give up, whatever happens.  ประการถัดไปคือ เมื่อมี object pronoun เช่น him, her, it, them, me, us, เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้า adverb เช่น I can't make it out. (right), 
ประการที่สามคือ  เมื่อมี noun เช่น book , pen , houses , etc.เป็น direct object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverb ก็ได้  (verb +adverb +noun) หรือ (verb +noun +adverb) เช่น  Turn on the light.  หรือ  - Turn the light on. ประการที่สี่ ถ้า object เป็นคำยาว เช่นมี object clause ขยายต้องวางobject ไว้หลัง adverb เช่น He gave away every book that he possesed.
ประการที่ห้า ในประโยคอุทาน (exclamatory Sentences)ให้วาง adverb ไว้หน้าประโยคยืดหลักดังนี้ ถ้าประธานเป็น noun เอากริยาตามมาได้เลย เช่น Off went john! = John went off. หรือถ้า ถ้าประธานเป็น pronoun ใหัใช้แต่ adverb ไม่ต้องใช้ verb เช่น Away they went ! = They went away.
Phrasal verbsมีหลายประเภท ได้แก่ Inseparable Verbs with no objects  คือ phrasal verb ที่ต้องติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ ไม่ต้องมีกรรม เช่น  set off ออกเดินทาง         Speed up เร่งความเร็ว
   Wake up ตื่นนอน            Stand up ยืนขึ้น   Come in เข้ามาถึง           Get on ขึ้น (รถ) / เข้ากันได้
   Carry on ทำต่อไป           Find out เรียนรู้  Grow up เติบโต             Turn up ปรากฏตัว
ประเภทที่สอง Inseparable Verbs with objects คือ phrasal verb ที่ต้องอยู่ติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่ต้องมีกรรม เช่น  Look after เลี้ยงดู         Look into สอบถาม ตรวจสอบ  Run into ชน      Come across พบโดยบังเอิญ  Take after เหมือนถอดแบบ         Deal with ติดต่อ เกี่ยวข้อง Go off ออกไป จากไป หยุดทำงาน         Cope with จัดการ
ประเภทที่สาม  Separable verbs คือ ที่แยกจากกันได้ มักจะต้องการกรรมTurn on เปิด(ไฟ)    Turn off ปิด (ไฟ)  Turn down หรี่ (เสียง)     Swith off ปิด  Look up มองหา             Take off ถอด ออกดินทาง
ประเภท ที่สี่ Three-Word Phrasal Verbs  คือ phrasal verb ที่ไม่มีกรรมและบางครั้งมีการใช้บุพบทมากกว่า 1 ตัว เช่น Get on with ทำต่อไป ไม่หยุด   Cut down on ลดปริมาณลง Look out for เตรียมพร้อม          Catch up with ตามทัน Run out of หมด      Get down to เอาจริงเอาจัง Stand up for ปกป้อง เดือดร้อนแทน  Look down to ดูถูก   Look up to ยอมรับนับถือ      Put up with อดทน   Look out on มองออกไป
ดังนั้น Phrasal verb ก็คือคำกริยาสองคำที่ใช้คู่กันจึงทำให้มีความหมายผิดไปจากเดิมซึ่งมีหลายประเภท และมีหลักการใช้ที่แตกต่างกันออกไป หากเราสามารถจำคำศัพท์เหล่านี้ได้เราก็สามารถที่จะนำไปใช้ในการเรียนของเราได้ หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันเราก็สามารถที่จะนำคำศัพท์ที่ถูกต้องไปใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจและรู้เรื่องว่าเราต้องการจะพูดถึงสิ่งใด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น