วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่ผลต่อการแปล


ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่ผลต่อการแปล

โครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ภาษา  เราพูดเป็นประโยคที่มีใจความสมบูรณ์และสื่อสารกันรู้เรื่องเพราะเรารู้และเข้าใจโครงสร้างของภาษา  ในการใช้ภาษาใดก็ตาม  ถ้าเราไม่รู้หรือเข้าใจโครงสร้างของภาษานั้น  จะล้มเหลวในการสื่อสาร  คือ ฟังหรืออ่านไม่เข้าใจ  และพูดหรือเขียนให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้
                ในการแปล  ผู้แปลมักนึกถึงคำศัพท์ เป็นปัญหาหนึ่งในการแปล   แต่ปัญหาที่สำคัญกว่านั้นคือ  ปัญหาทางโครงสร้าง  นักแปลคนใดก็ตามแม้จะรู้คำศัพท์แต่หากไม่เข้าใจความสำพันธ์ของศัพท์เหล่านั้นก็มีโอกาสล้มเหลวได้  เพราะอาจตีความผิดหรือถ่ายทอดเป็นภาษาเป้าหมายที่ผิดได้
1.       ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
ชนิดของคำ  (Parts of speech)  เป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง  เพราะเมื่อสร้างประโยคต้องนำคำมาเรียงเพื่อให้เกิดความหมายที่ต้องการประโยคจะถูกไวยากรณ์เมื่อใช้ชนิดคำตรงกับหน้าที่ทางไวยากรณ์
ประเภททางไวยากรณ์  (Grammatical category)  หมายถึงลักษณะสำคัญทางไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่งซึ่งมีสัมพันธ์กับชนิดของคำ
1.1    คำนาม
เมื่อเปรียบเทียบคำนามในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ พบว่าประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้  ในภาษาอังกฤษแต่เป็นลักษณะที่ไม่สำคัญหรือไม่มีตัวบ่งชี้ในภาษาไทย  ได้แก่
1.1.1          บุรุษ (person)
บุรุษ  เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกว่าคำนามหรือสรรพนามที่นำมาใช้ในประโยคหมายถึง  ผู้พูด  ผู้ที่ถูกพูดด้วย  หรือผู้ที่ถูกพูดถึง  ภาษาอังกฤษแยกรูปสรรพนามตามบุรุษที่ 1 ที่  2  และที่ 3  อย่างชัดเจน  เช่น  I(บุรุษที่ 1)  ,  you(บุรุษที่ 2)  ,he /she(บุรุษที่ 3)  ภาษาไทยแยกไม่เด่นชัด  เพราะบางคำก็ใช้ได้หลายบุรุษ เช่น  เรา(1,2) เขา(1,3)  ตัวเอง(1,2)  นอกจากนั้นภาษาอังกฤษยังมีการเติม –s  ที่ประธานของกริยาที่ เอกพจน์  สำหรับภาษาไทยไม่มีการแสดงความต่างเช่นนี้
1.1.2          พจน์  (number)
พจน์เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำนวน  ภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้พจน์โดยใช้  a,an  นำหน้าคำนามเอกพจน์เท่านั้น  และแสดงพหูพจน์โดยการเติมหน่วยท้ายศัพท์  -s  แต่ในภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้เช่นนั้น  เพราะภาษาไทยไม่มีการแยกสรรพสิ่งตามนั้น
1.1.3          การก  (case)
การก  คือประเภททางไวยากรณ์ของคำนามเพื่อบ่งชี้ว่าคำนามนั้นเล่นบทบาทอะไร  คือสัมพันธ์กับคำอื่นในประโยคอย่างไร  ภาษาต่างกันมีการแสดงการกด้วยวิธีการต่างกัน  มีการแสดงการกที่คำนาม  แต่จำนวนการกและรูปของการกมักแตกต่างกัน  ในภาษาที่ตายแล้  เช่น  ภาษาละติน  การกเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  ไม่มีผู้ใดสามารถแต่งประโยคในภาษานั้นได้ถูกต้องเลยหากไม่เข้าใจเรื่องการก  นั่นคือ  เมื่อเราจะใช้คำนาม 1 คำ  เราต้องคำนึงว่า  คำนามนั้นเป็นผู้กระทำ  ผู้ถูกกระทำ  ผู้เป็นเจ้าของ  หรือสถานที่  การผันคำตามการกต่างๆ เช่น  ในภาษาละติน  คำว่า  เจ้านาย’  ถ้าเป็นประธาน ต้องใช้ dominus  เป็นกรรมตรงใช้  dominum  เป็นกรรมรองใช้  domino  และเป็นเจ้าของใช้  domini  เป็นต้น
ในภาษาอังกฤษ  การกของคำนามมักแสดงโดยการเรียงคำ  แต่การกของในภาษาอังกฤษแสดงโดยการเติม ‘s  ที่หลังคำนาม  เช่น  teacher’s  boy’s  mother’s  ในภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยคำเพื่อแสดงการกแต่ใช้การเรียงคำ
1.1.4          นามนับได้  กับ  นามนับไม่ได้  ( countable and  uncountable  nouns)
คำนามในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยในเรื่องการแบ่งเป็น  นามนับได้  และนามนับไม่ได้  ผู้พูดภาษาอังกฤษทุกคนแยกความแตกต่างระหว่างคำนาม   เช่น  cat, house,book  กับคำนาม  เช่น  hair, water  ความแตกต่างดังกล่าวนี้แสดงโดยการใช้ตัว a,an  กับคำนามนับได้เอกพจน์  และเติม s ที่นามนับได้พหูพจน์  ส่วนนามนับไม่ได้ไม่ต้องใช้  a,an  และไม่ต้องเติม  s  
ในภาษาไทย คำนาทุกคำนับได้  เพราะเรามีลักษณะนามบอกจำนวนของทุกสิ่ง  และสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับคำนามนั้นๆ  ในภาษาอังกฤษ  มีการใช้หน่วยบอกปริมาณกับคำนามที่นับไม่ได้ทำให้เป็นหน่วยเหมือนนับได้  แต่ก็เป็นระบบทั่วไปเหมือนภาษาไทย  เช่น
A  glass  of  water                                     A  cup  of  coffee

1.1.5          ความชี้เฉพาะ  (definiteness)
เป็นประเภททางไวยากรณ์อีกประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญในภาษาอังกฤษ  แต่ไม่สำคัญในภาษาไทย  ได้แก่การแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ  เครื่องหมายที่จะบ่งชี้ความชี้เฉพาะคือตัวกำหนด  ได้แก่ a,an  ซึ่งบ่งความไม่ชี้เฉพาะ(indefiniteness)  the  (definiteness)  การแยกความแตกต่างระหว่างชี้เฉพาะกับไม่ชีเฉพาะไม่มีในภาษาไทย
1.2    คำกริยา
คำกริยานับได้ว่าเป็นหัวใจของประโยค  เพราะมีประเภททางไวยากรณ์
1.2.1          กาล (tense)
คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องแสดงกาลเสมอว่าเป็นอดีต  หรือไม่ใช่อดีต  ผู้พูดภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้คำกริยาโดยปราศจากบ่งชี้กาล  เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาแยกความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับไม่ใช่อดีต
1.2.2          การณ์ลักษณะ (aspect)
การณ์ลักษณะ  หมายถึง  ลักษณะของการกระทำ  หรือเหตุการณ์  เช่นการดำเนินอยู่ของเหตุการณ์  การเสร็จสิ้นของการกระทำ  การเกิดซ้ำของเหตุการณ์  ในภาษาอังกฤษ  การณ์ลักษณะที่สำคัญ  ได้แก่  การณ์ลักษณะต่อเนื่อง  หรือการณ์ลักษณะที่ดำเนินอยู่  (continuous aspect )  และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น  (perfective  aspect)  ในภาษาไทย  เหตุการณ์ที่ต่อเนื่องหรือกำลังดำเนินอยู่แสดงด้วยคำว่า  กำลัง”  หรือ  อยู่”  ส่วนการณ์ลักษณะเสร็จสิ้นแสดงโดยคำว่า แล้ว”    การณ์ลักษณะในภาษาอังกฤษจะผูกติดกับกาลเสมอ  สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ  ในภาษาอังกฤษถ้ามีกริยาหลายตัวกาลกริยาเหล่านั้นต้องสัมพันธ์กันในเรื่องเวลาด้วย  ภาษาอังกฤษถือว่า  เรื่องของเวลาของเหตุการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากทุกประโยคที่พูดหรือเขียนจะต้องตัดสินหรือแสดงให้เห็นชัดว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด  แต่ภาษาไทยถือว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่เป็นสิ่งสำคัญผู้อ่านสามารถตีความได้จากปริบท
1.2.3          มาลา  (mood)
มาลา  เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่ใช้กับคำกริยา  มีหน้าที่แสดงว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเรื่องที่พูดอย่างไร  ในภาษาไทยคำกริยาไม่มีการแสดงมาลา  มาลาในภาษาอังกฤษแสดงโดยการเปลี่ยนรูปคำกริยา  หรืออาจแสดงโดยคำช่วยกริยาที่เรียกว่า  modal  auxiliaries  ในภาษาไทย  มาลาแสดงโดยกริยาช่วยหรือคำวิเศษณ์เท่านั้น  ไม่ได้แสดงโดยการเปลี่ยนรูปกริยาคำที่แสดงมาลาในภาษาไทย
1.2.4          วาจก  (voice)
วาจก  เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำที่แสดงโดยการกระทำ  ว่าประธานเป็นผู้กระทำ  หรือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ   ในภาษาอังกฤษ  ประโยคส่วนใหญ่จะมีกริยาเป็นกรรตุวาจก  แต่ในบางกรณี  กริยาจำเป็นต้องอยู่ในรูปกรรมวาจกเพราะผู้พูดอาจจะไม่ต้องการระบุผู้กระทำ  แต่ต้องการเน้นผู้ถูกกระทำแทน
1.2.5          กริยาแท้กับกริยาไม่แท้( finite  vs.  non-finite )
คำกริยาในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยมากในเรื่องแยกกริยาแท้ออกจากกริยาไม่แท้  คือ  ในหนึ่งประโยคเดี่ยวจจะมีกริยาแท้เพียงตัวเดียวเท่านั้น  ซึ่งมีรูปแบบที่เด่นชัดจากการที่ต้องลงเครื่องหมายเพื่อบ่งชี้ประเภททางไวยากรณ์ต่างๆ  ส่วนกริยาอื่นๆในประโยคต้องแสดงรูปให้เห็นชัดว่าไม่ใช่กริยาแท้  ในภาษาไทย  ไม่มีความต่างระหว่างกริยาแท้กับกริยาไม่แท้  คือ  กริยาในประโยคทุกตัวไม่มีการแสดงรูปที่แตกต่างกัน  หรือเครื่องหมายที่ระบุได้ทันทีว่าตัวไหนเป็นกริยาแท้หรือไม่แท้  ในการแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย  ผู้แปลอาจจำเป็นต้องขึ้นประโยคใหม่  หมายความว่าทำกริยาไม่แท้ให้เป็นกริยาแท้ของประโยคใหม่

           1.3    ชนิดของคำประเภทอื่น
คำ  Adjective  ในภาษาอังกฤษอาจเป็นปัญหาสำหรับคนไทย  เพราะต้องใช้กับ  verb  to  be  เมื่อทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค  ในภาษาไทยไม่มีโครงสร้างแบบนี้เพราะใช้กริยาทั้งหมด  Adjective  ใช้เพื่อขยายคำนามที่เป็นหลัก  ในภาษาไทยคำขยายอยู่ข้างหลังตรงข้ามกับภาษาอังกฤษ  คำอีกประเภทที่ไม่ขนานกันระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ  ได้แก่คำลงท้าย ครับ  ค่ะ ในภาษาอังกฤาไม่มีชนิดของคำประเภทนี้  ภาษาอังกฤษและภาษาไทยมีความแตกต่างกันเรื่องของชนิดของคำ และประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญหลายประการซึ่งถ้าผู้แปลมีความเข้าใจ  ก็จะช่วยในการแปลนั้นง่ายขึ้น
2.        หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้าง(construction)  หมายถึงหน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง  เมื่อเปรียบเทียบหน่วยสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีหน่วยสร้างที่แตกต่างกัน
2.1    หน่วยสร้างนามวลี  ตัวกำหนด( Determiner)  +  นาม  (อังกฤษ) vs.  นาม (ไทย)
นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีตัวกำหนด  อยู่หน้านามเสมอ  ถ้าคำนั้นเป็นคำนามนับได้เอกพจน์  นอกจากนั้นตัวกำหนดหน้านามเพื่อบ่งบอกความชี้เฉพาะของคำนาม  ในภาษาไทยไม่มีตัวกำหนด  มีแต่คำบ่งชี้  เช่น  นี้  นั้น  โน้น  ซึ่งบ่งบอกความหมายใกล้หรือไกล  และเฉพาะเจาะจง
2.2    หน่วยสร้างนามวลี  ส่วนขยาย + ส่วนหลัก (อังกฤษ)+  ส่วนหลัก +  ส่วนขยาย  (ไทย) 
ในหน่วยสร้างนามวลี  ภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้หน้าส่วนหลัก  ส่วนภาษาไทยตรงกันข้าม 
                2.3  หน่วยสร้างกรรมวาจก  (passive  construction)
ในภาษาอังกฤษหน่วยสร้างคำกรรมวาจกมีรูปเด่นชัด  และมีแบบเดียว  คือ  ประธาน / ผู้รับการกระทำ + กริยา  ---verb to be + participle + (by +นามวลี /ผู้กระทำ)  แต่ในภาษาไทยหน่วยสร้างกรรมวาจกมีหลายรูปแบบ  กริยาเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก  จะมีรูปตรงข้ามในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  ในภาษาไทยมักเป็นกรรตุวาจก  ส่วนในภาษาอังกฤษเป็นกรรมวาจก
2.4    หน่วยสร้างประโยคเน้น subject  (อังกฤษ)  กับประโยคเน้น topic  (ไทย)
ภาษาไทยได้ชื่อว่าเป็นภาษาเน้น  ตรงข้ามกับภาษาอังกฤษ
2.5   หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย  (serial verb construction)
ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาตั้งแต่สองคำขึ้นไปเรียงต่อกันโดยไม่มีอะไรคั่นกลางยกเว้นกรรมของกริยาที่มาข้างหน้า  เช่น เดิน-ไป-ดูหนัง  เมื่อแปลประโยคเช่นนี้เป็นภาษาอังกฤษจะสังเกตได้ว่าโครงสร้างจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่กริยาเรียง
3.                   3.สรุป
3.1  เรื่องชนิดของคำ
ภาษาที่มีชนิดของคำบางประเภทแต่อีกภาษาไม่มี  ภาษาไทยมีชนิดของคำทุกประเภทเหมือนภาษาอังกฤษ  ยกเว้นคุณศัพท์  และมีชนิดที่ไม่มีในภาษาอังกฤษ  ได้แก่ ลักษณะนาม  และคำลงท้าย
3.2  เรื่องประเภททางไวยากรณ์ 
สำหรับคำนามภาษาไทยไม่มีกาบ่งชี้  บุรุษ  พจน์  การก  กริยา-กริยาไม่แท้  ชี้เฉพาะ  แต่ภาษาอังกฤษไม่มีการบ่งชี้ที่ชัดเจน
สำหรับคำกริยา  ภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้  กาล  มาลา  วาจก  กริยาแท้-กริยาไม่แท้  แต่ภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้ที่ชัดเจน
3.3  เรื่องหน่วยสร้างหรือรูปประโยค
นามวลี ในภาษาอังกฤษไม่มีตัวกำหนดแบบบังคับ  แต่ในภาษาไทยตัวกำหนดจะมีหรือไม่มีก็ได้
                การวางส่วนขยายในนามวลี  มีความแตกต่างอย่างตรงกันข้ามในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
                หน่วยสร้างกรรมวาจก  ภาษาอังกฤษมีรูปแบบชัดเจน  แต่ภาษาไทยมีหลายรูปแบบ  และไม่จำเป็นที่จะต้องแปลหน่วยสร้างกรรมวาจกภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเสมอไป
                ประโยคเน้นประธานกับประโยคเน้นเรื่อง  ประโยคในภาษาอังกฤษต้องมีประธานเสมอ  แต่ประโยคในภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องมีประธาน  และประโยคส่วนมากมักขึ้นต้นด้วยเรื่อง
                หน่วยสร้างกริยาเรียง  มีในภาษาไทยแต่ไม่มีในภาษาอังกฤษ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น